UFABETWIN 3 คน 3 คม : “3R” ตำนานเพอร์เฟ็กต์ทริโอ ผูู้บันดาลแชมป์โลกสมัยที่ 5 ให้บราซิล
นี่คือตำนาน 3 ประสานที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลก และนี่คือเรื่องราวการสร้างทีมบราซิลชุดนั้นโดยกุนซือ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ที่ถูกวิจารณ์มากมายว่าการพึ่งตัวรุกจากยุโรปแค่ 3 คนนี้ดีพอจะได้แชมป์โลกแน่หรือ?
ติดตามเรื่องราวจากจุดเริ่มต้นจนถึงวันชูถ้วยแชมป์ ภายใต้การบุกแบบ “3 คนก็พอ” บทเรียนจากฟุตบอลโลก 1998 ว่ากันว่า ความผิดหวังเมื่อครั้งอดีตคือ บทเรียน คำๆนี้ใช้ได้จริงกับทีมชาติบราซิลชุดฟุตบอลโลก 2002 เป็นอย่างยิ่ง เพราะ ณ เวลานั้น ทีมชาติบราซิลกำลังตกหลุมพรางในการใช้งาน โรนัลโด้ มากจนเกินไป พวกเขาให้หน้าที่มากมายกับกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลก
และแม้ว่าผลที่ออกมานั้นจะยอดเยี่ยมตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนรอบรองชนะเลิศ ทว่าเมื่อมาถึงรอบชิงชนะเลิศ กองหน้าที่ดีที่สุดในโลก กลับไม่พร้อมจะลงเล่นแบบเต็ม 100% และนั่นเป็นปัญหาที่แฟนบอลบราซิลยังคงถกเถียงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เมื่อย้อนกลับไปหลังจากพวกเขาแพ้ให้กับ ฝรั่งเศส 0-3 ประเด็นดังกล่าวร้อนแรงจนถึงขั้นเกิดทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมากมาย
ทฤษฎีแรกคือ โรนัลโด้ โดนวางยา เนื่องจากมีข่าวว่าก่อนเกมจะเริ่มโรนัลโด้ มีอาการชักและท้องเสีย,
ทฤษฎีที่ 2 คือ โรนัลโด้ ไม่สบาย และเขามีปัญหาสุขภาพที่ถูกซ่อนไว้เป็นความลับ โดยมีเพียงแพทย์เจ้าของอาการเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้, ทฤษฎีที่ 3 แพทย์ให้ “ยาเม็ดสีฟ้า” ซึ่งเป็นยาบรรเทาอาการปวดกับ โรนัลโด้ มันทำให้เขาหายปวดท้องก็จริง แต่ผลข้างเคียงคือทำให้เขาง่วงซึมจนทำให้เขาไม่ตื่นตัวจนเล่นไม่ออกในเกมนัดชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส, ทฤษฎีที่ 4 ไนกี้ บังคับให้ทีมชาติบราซิลต้องส่ง โรนัลโด้ ลงสนามในนัดชิงเท่านั้น เพราะมีการตกลงกันไว้แบบเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และทฤษฎีสุดท้ายคือ มีนักเตะบราซิลตัดสินใจ “ล้มบอล” ด้วยการขายแชมป์โลกแลกกับเงิน 15 ล้านปอนด์
ไม่ว่าจะทฤษฎีไหนก็มีเรื่องของ โรนัลโด้ มาเกี่ยวข้องทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นในอีกมุมว่า บราซิล ชุดฟุตบอลโลก 1998 พึ่งพาเกมรุกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้โรนัลโด้แบกเกมรุกของทีม ซึ่งหากใครที่ได้ดูการถ่ายทอดสดเกมนัดชิงชนะเลิศ และมองด้วยใจที่เป็นกลาง คุณจะสามารถเข้าใจได้ว่าเหตุผลหลักที่ บราซิล ที่เป็นแชมป์ 4 สมัย แพ้ให้ฝรั่งเศส ณ เวลานั้น คือเรื่องของแทคติกล้วนๆ
ฝรั่งเศส ชุดนั้นได้ให้บทเรียนสำคัญกับ บราซิล พวกเขาสร้างทีมโดยให้สิทธิ์กับกุนซือ เอเม่ ฌักเกต์ เข้ามาดูแลทีมตั้งแต่หลังปี 1994 ซึ่ง ณ เวลานั้น ทีมชาติฝรั่งเศสถูกสื่ออย่าง ESPN เรียกว่า “ทีมชุดวิกฤต” เพราะไม่ได้ไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่สหรัฐอเมริกา ทั้งๆที่มีนักเตะอย่าง ดาวิด ชิโนลา, ฌอง ปิแอร์ ปาแปง และ เอริค คันโตนา
ฟิลิปป์ ตูร์นอง นักข่าวชาวฝรั่งเศสบรรยายถึงบรรยากาศในการสร้างทีมว่า
“พวกเราอยากได้แชมป์ฟุตบอลโลกในบ้านตัวเอง เราจึงให้ตำแหน่งและอำนาจกับฌักเกต์เพื่อสร้างทีมของเขาขึ้นมา และเขาก็ทำงานอย่างหนักเพื่อหาทีมชุดที่ดีที่สุด แต่ผู้คนไม่เข้าใจ สื่ออย่าง เลกิ๊ป เป็นสื่อที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ในช่วงก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม ฌักเกต์ลองทีมด้วยนักเตะหลายคน จนฟอร์มอุ่นเครื่องไม่ดีเอาเสียเลย และพวกเขาเริ่มโจมตีถึงเป้าหมายแชมป์โลกที่ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับทีมชุดนั้น”
แต่สิ่งที่สมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสทำคือ พวกเขาให้โอกาสฌักเกต์อย่างเต็มที่ ไม่มีการล้วงลูก จนที่สุดแล้ว ฝรั่งเศสก็ได้สร้างทีมชุดที่แข็งแกร่งมากๆ โดยเฉพาะในส่วนของเกมรับที่นำโดยตัวท็อป ณ เวลานั้นอย่าง โลร็องต์ บล็องค์, มาร์กแซล เดอไซญี่, บิเซนเต้ ลิซาราซู และ ลิลิยอง ตูราม ประกอบกับแดนกลางที่เป็นมิดฟิลด์เชิงรับถึง 3 คนทั้ง ดิดิเยร์ เดส์ชองส์, คริสติยอง การอมเบอ และ เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ก่อนวางกองหน้าธรรมชาติแค่คนเดียวคือ สเตฟาน กีวาร์ช ซึ่งเหมือนวางไว้เป็นตัวหลอก เพราะหัวใจในแนวรุกจริงๆอยู่ที่ ยูริ จอร์เกฟฟ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีเนดีน ซีดาน ต่างหาก
อย่างที่ทุกคนรู้กัน แค่นั้นก็เกินพอ ฝรั่งเศสเล่นด้วยความแน่นอนตลอดทัวร์นาเมนต์ เสียประตูแค่ 2 ลูก และมีนักเตะถึง 9 คนที่ยิงประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น (มากที่สุดเหนือทุกทีม) สุดท้ายพวกเขาจบด้วยการเป็นแชมป์โลกสมัยแรกในประวัติศาสตร์